
ในบทความก่อนหน้านี้เราพูดถึงพื้นฐานของ Laravel แต่ในบทความนี้เรามาพูดถึงวิธีการตั้งค่า Laravel ให้ตรงตามสภาพแวดล้อมของเครื่องเราและเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาระบบ/โปรแกรม กันนะครับ
การตั้งค่าตามสภาพแวดล้อม (Environment Configuration)
สำหรับการตั้งค่าตามสภาพแวดล้อมในที่นี้ผมเรียกสั้นว่า env ครับ โดยเราสามารถเข้าไปตั้งที่ไฟล์ .env หากไม่มี ให้ทำการ copy .env.example แล้ว rename ชื่อเป็น .env ครับ ตามรูปภาพด้านล่าง
แล้วเปิดเข้าไฟล์ .evn จะได้ตาม code ด้านล่าง
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 |
APP_NAME=Laravel APP_ENV=local APP_KEY=base64:3FsGSgfxzhqvXdVqgt+J4slG50AnzqZsc+kxp1pKgzs= APP_DEBUG=true APP_URL=http://localhost LOG_CHANNEL=stack DB_CONNECTION=mysql DB_HOST=127.0.0.1 DB_PORT=3306 DB_DATABASE=homestead DB_USERNAME=homestead DB_PASSWORD=secret BROADCAST_DRIVER=log CACHE_DRIVER=file QUEUE_CONNECTION=sync SESSION_DRIVER=file SESSION_LIFETIME=120 REDIS_HOST=127.0.0.1 REDIS_PASSWORD=null REDIS_PORT=6379 MAIL_DRIVER=smtp MAIL_HOST=smtp.mailtrap.io MAIL_PORT=2525 MAIL_USERNAME=null MAIL_PASSWORD=null MAIL_ENCRYPTION=null AWS_ACCESS_KEY_ID= AWS_SECRET_ACCESS_KEY= AWS_DEFAULT_REGION=us-east-1 AWS_BUCKET= PUSHER_APP_ID= PUSHER_APP_KEY= PUSHER_APP_SECRET= PUSHER_APP_CLUSTER=mt1 MIX_PUSHER_APP_KEY="${PUSHER_APP_KEY}" MIX_PUSHER_APP_CLUSTER="${PUSHER_APP_CLUSTER}" |
Code ที่ต้องแก้ไข
APP_NAME=Laravel (ชื่อแอพลิเคชั่นของเรา)
APP_DEBUG=true (เปิดโหมด debug หากเอาขึ้น Production ให้ false)
APP_URL=http://localhost (url ระบบ ของเรา)
DB_CONNECTION=mysql (ชื่อยีห้อของฐานข้อมูลที่เราใช้)
DB_HOST=127.0.0.1 (url ฐานข้อมูล)
DB_PORT=3306 (พอร์ต ฐานข้อมูล)
DB_DATABASE=homestead (ชื่อฐานข้อมูล)
DB_USERNAME=homestead (user ฐานข้อมูล)
DB_PASSWORD=secret (รหัสผ่านฐานข้อมูล)
APP_KEY=base64:3FsGSgfxzhqvXdVqgt+J4slG50AnzqZsc+kxp1pKgzs=
สำหรับ APP_KEY หากยังไม่มีเราสามารถ Generate ได้โดยเปิด command line (วิธีการเปิด Command line) แล้วพิมพ์คำสั่งตาม ด้านล่าง
1 |
php artisan key:generate |
สำคัญ ตอนที่เราเอาโปรเจ็คขึ้น Server (Production) แล้ว เราไม่ควรนำไฟล์ .env ขึ้นไปด้วย ให้เราไป config ที่ ไฟล์ที่อยู่โฟล์เดอร์ config แทน เช่น เราต้องการ url เราไปแก้ที่ config/app.php ในบรรทัดที่ 55 ตาม Code ด้านล่าง
1 |
'url' => env('APP_URL', 'http://itoffside.com'), |
หากต้องการแก้ไขฐานข้อมูล ตั้งค่า config ที่ config/database.php
หลังจากเรา Config เสร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตอนเราพัฒนาหรือตอนเราเอาขึ้น Production ให้เปิด Command line แล้วพิมพ์คำสั่งด้านล่าง
1 |
php artisan config:clear |
เพื่อเคลียร์ config เก่า แล้วใช้ config ที่เราเพิ่งทำใหม่
1 |
php artisan config:cache |
เพื่อเก็บ cache config ไว้ทำให้โปรเจ็คเราทำงานได้เร็วขึ้น
เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา (Dev Tool)
- การเขียน Code เราใช้ VSCode
- ให้เราติดตั้ง Extension ดังต่อไปนี้
- DotENV
- Laravel Blade Snippets
- Laravel Blade spacer
- Laravel-blade
- Laravel goto view
- laravel-goto-controller
- PHP IntelliSense
- PHP Debug
- phpfmt – PHP formatter
- ให้เราติดตั้ง Extension ดังต่อไปนี้
- XAMPP เวอร์ชั่น 7+ (เป็นโปรแกรมจำลอง Server ในเครื่องเรา)
- Git (ใช้ github ต้องสมัครก่อน ฟรี) เอาไว้เก็บ Code และควบคุม Version ของ Code
- Github Desktop (เป็น gui เพื่อเราไม่ต้องเขียนคำสั่ง git เช่น commit push เป็นต้น)
เครื่องมือในการพัฒนา ที่แนะนำคือ VSCode พร้อมติดตั้ง extension ให้ครบครับเพื่อความเร็วในการทำงานของเราเอง เนื่องจาก extension เหล่านี้มีประโยชน์ เป็นเครื่องทุ่นแรงของเราได้ดีทีเดียว
สรุป
สำหรับการตั้งค่า เราสามารถตั้งค่าได้ง่ายๆ หากเรากำลังพัฒนาอยู่ ให้ตั้งค่าที่ไฟล์ .env แต่หากเราเอาขึ้น Production แล้ว ต้องไปค่าที่ โฟล์เดอร์ config แทน
เครื่องมือการพัฒนานั้นเป็นสิ่งที่ผู้เขียนถนัดใช้งาน และใช้อยู่เป็นประจำ หากเราไม่ถนัดก็สามารถใช้อย่างอื่นก็ได้เช่น sublime text เป็นต้น